ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์สุขภาพที่นิวยอร์ก เผยให้เห็นถึงความชุกของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV) แตกต่างกัน 5เท่าในสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อกว่า 2 ล้านคน ในหลายภูมิภาคของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้แต่ละภูมิภาคต้องการแนวทางสุขภาพของประชาชนที่แตกต่างกันในการจัดการกับการระบาดของไวรัสตับอักเสบซี
เนื่องจากความพร้อมที่เพิ่มขึ้นของยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์โดยตรงในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัสตับอักเสบซี direct-acting antiviral agents (DAAs) จึงจำเป็นต้องมีการประเมินความชุกระดับภูมิภาคเพื่อเป็นแนวทางในการกำจัดไวรัสตับอักเสบซีในท้องถิ่น ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีประวัติการใช้ยาฉีดประเภทสารเสพติดเพิ่มขึ้นและมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
ในปัจจุบัน ได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการรักษาและป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี เช่น การขยายการเข้าถึงยาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์โดยตรง บริการเข็มฉีดยาและการให้ความช่วยเหลือในการรักษาด้วยยาสำหรับผู้ป่วยที่ติดสารเสพติด แพทย์จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการทดสอบตามแนวทางของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ซึ่งแนะนำให้ทำการทดสอบสำหรับกลุ่ม เช่น ผู้ใหญ่ที่เกิดในปี 2488-2508 และกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีประวัติการใช้ยา เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการรักษาและการป้องกันการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดหรือประเทศใดก็ตาม ยอมมีความชุกในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีที่แตกต่างกันไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคนี้ นอกจากการเข้าถึงยาต้านไวรัสที่ออกฤกษ์โดยตรงแล้ว เรายังต้องช่วยกันให้ความรู้ประชาชนในการดูแลและป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเพิ่มขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมหรือเข็มร่วมกับผู้อื่นและไม่สำส่อนทางเพศ สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติได้รับเลือดมาก่อนหรือมีความเสี่ยง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาไวรัสตับอักเสบซี เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไปนะคะ
ขอบคุณแหล่งข้อมูลดีๆ จาก
สำนักข่าวรอยเตอร์สุขภาพ 2018 ประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2561
https://www.medscape.com/viewarticle/907001